โรคอ้วน และ น้ำหนักตัวเกิน (Obesity and overweight)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 17 กุมภาพันธ์ 2562
- Tweet
- นิยาม: โรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน ดัชนีมวลกาย และอัตราส่วนระหว่างเอวกับสะโพก
- รู้ได้อย่างไรว่าน้ำหนักตัวเกินและเป็นโรคอ้วน?
- ทำไมโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกินถึงเป็นปัญหาทางการแพทย์?
- โรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกินมีสาเหตุจากอะไร?
- ปัจจัยเสี่ยงของคนไทยต่อการมีโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกินมีอะไรบ้าง?
- แพทย์รักษาโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกินได้อย่างไร?
- ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อเป็นโรคอ้วนและมีน้ำหนักตัวเกิน?ควรพบแพทย์เมื่อไร?
- ป้องกันโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกินได้อย่างไร?
- บรรณานุกรม
- การออกกำลังกาย: แนวทางการออกกำลังกายเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี (Exercise concepts for healthy lifestyle)
- มะเร็ง (Cancer)
- โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension)
- โรคไขมันในเลือดสูง (Dyslipidemia)
- โรคหัวใจ: โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery disease)
- เบาหวาน (Diabetes mellitus)
- รู้ทันโรคเบาหวาน (Diabetes mellitus)
- เด็กอ้วน เด็กน้ำหนักตัวเกิน (Pediatric obesity and overweight)
นิยาม: โรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน ดัชนีมวลกาย และอัตราส่วนระหว่างเอวกับสะโพก
นิยามต่างๆในเรื่องโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน: ได้แก่
ก. น้ำหนักตัวเกิน และโรคอ้วน (Overweight and obesity): โดยองค์การอนามัยโลก ให้นิยามว่า น้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน หมายถึง ภาวะที่ร่างกายมีการสะสมไขมันในส่วนต่างๆของร่างกายเกินปกติ จนเป็นปัจจัยเสี่ยง หรือ เป็นสาเหตุให้เกิดโรคต่างๆที่ส่งผลถึงสุขภาพ จนอาจเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้ โดยในผู้ใหญ่
- เมื่อมีค่าดัชนีมวลกาย/ดรรชนีมวลกาย (Body mass index หรือ เรียกย่อว่า BMI/บีเอ็มไอ) ตั้งแต่ 25 ขึ้นไป เรียกว่า น้ำหนักตัวเกิน
- แต่ถ้ามีค่าดรรชนีมวลกาย ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป เรียกว่า เป็นโรคอ้วน
น้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน มีสาเหตุ วิธีวินิจฉัย การดูแลรักษา และปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆเช่นเดียวกันทุกประการ แตกต่างกันที่ความรุนแรงของปัญหาทางสุขภาพ ในคนน้ำหนักตัวเกินจะรุนแรงน้อยกว่าในคนเป็นโรคอ้วน ดังนั้นในทางการแพทย์ ทั้งน้ำหนักตัวเกิน และโรคอ้วนจึงมักกล่าวถึงควบคู่กันไปเสมอ
ข. ดัชนีมวลกาย/ดรรชนีมวลกาย/บีเอ็มไอ/BMI: คือ ค่าซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างน้ำหนักตัวกับส่วนสูง ซึ่งนิยมใช้เป็นตัววินิจฉัยว่า ใครน้ำหนักเกิน หรือใครเป็นโรคอ้วน โดยหน่วยของน้ำหนักคิดเป็นกิโลกรัม และหน่วยของความสูงคิดเป็นเมตร โดยค่าดัชนีมวลกายของแต่ละคน จะมีค่าเท่ากับ น้ำหนักของคนๆนั้น หารด้วยความสูงยกกำลังสอง ดังนั้นหน่วยของดัชนีมวลกายจึงเป็น กิโลกรัม/เมตร2 แต่โดยทั่ว ไปไม่นิยมใส่หน่วยของดัชนีมวลกาย
ซึ่งค่าดัชนีมวลกายของคนปกติ และคนผอมตามนิยามขององค์การอนามัยโลกคือ 18.5-24.9 และ ต่ำกว่า 18.5 ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม บางการศึกษา แนะนำว่า นิยามโรคอ้วน และ น้ำหนักตัวเกินในคนเอเชีย ควรแตกต่างจากที่องค์การอนามัยโลกกำหนด เพราะคนเอเชียมีรูปร่างเล็กกว่าคนอเมริกัน ยุโรป และอัฟริกัน โดย
- กำหนดให้คนผอม และคนปกติของชาวเอเชีย มีค่าดรรชนีมวลกาย น้อยกว่า 18.5 และ 18.5-22.9 ตามลำดับ
- ส่วนน้ำหนักตัวเกิน และโรคอ้วนของชาวเอเชีย มีค่าดรรชนีมวลกาย ตั้งแต่ 23 ขึ้นไป และ ตั้งแต่ 25 ขึ้นไป ตามลำดับ
องค์การอนามัยโลก และกลุ่มแพทย์ชาวเอเชีย ยังแบ่งโรคอ้วนออกเป็น 3 ระดับ เพื่อบอกความรุนแรงของภาวะ หรือ ของโรค ว่า ปานกลาง รุนแรง และรุนแรงมาก โดยระดับความรุนแรงมาก คือ ค่าดรรชนีมวลกายตั้งแต่ 40 ขึ้นไป (องค์การอนามัยโลก) หรือ ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปในคนเอเชีย
อนึ่ง ค่าดรรชนีมวลกาย/ดัชนีมวลกายในผู้ใหญ่และในเด็กต่างกัน เพราะเด็กอยู่ในวัยเจริญเติบโต และมีความแตกต่างกันในการเจริญเติบโตระหว่างเด็กหญิงและเด็กชาย ดังนั้นในการคำนวณค่าบี เอ็มไอ/ดัชนีมวลกายเด็ก จึงต้องใช้อายุและเพศของเด็กเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เรียกว่า ค่า ‘BMI-for-Age percentile’ ซึ่งบทความนี้จะไม่กล่าวถึง เรื่องของน้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วนในเด็ก (แนะนำอ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง เด็กอ้วน เด็กน้ำหนักตัวเกิน) แต่จะครอบคลุมเรื่องน้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วนเฉพาะในผู้ใหญ่เท่านั้น
ค. อัตราส่วนระหว่างเอวกับสะโพก (Waist-hip ratio หรือ เรียกย่อว่า WHR/ดับเบิลยูเอชอาร์): และทั่วไปเรียกค่านี้ได้อีกชื่อว่า Abdominal obesity โดยเพื่อให้ง่ายขึ้นในเรื่องการจะวินิจฉัยโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน บางการศึกษาแนะนำให้วินิจฉัยว่า การมีไขมันเกินจนเป็นปัญหาต่อสุขภาพ ให้วัดรอบเอวและหารด้วยรอบสะโพก ‘ในผู้ชายค่ามากกว่า 0.9 และในผู้หญิงค่ามากกว่า 0.85 แสดงว่า มีปัญหาจากร่างกายสะสมไขมันเกินแล้ว’ ทั้งนี้
- การวัดรอบเอวให้วัดในตำแหน่งกึ่งกลางระหว่าง ซี่โครงซี่สุดท้ายที่คลำได้และสันกระดูกปีกสะโพก (Iliac crest) ส่วนรอบสะโพกให้วัดในตำแหน่งระดับที่โคนขาทั้งสองข้างชนกัน
- หรือรอบเอววัดจากรอยคอดระหว่างช่วงอกต่อกับช่วงท้อง ส่วนรอบสะโพกวัดจากส่วนที่กว้างที่สุดของสะโพกหรือของก้น
รู้ได้อย่างไรว่า น้ำหนักตัวเกิน หรือ เป็นโรคอ้วน?
รู้ได้ว่ามีน้ำหนักตัวเกิน หรือ เป็นโรคอ้วน โดย
ก. แพทย์วินิจฉัยว่า มีน้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน ได้จาก
- การหาค่าดัชนีมวลกายด้วยวิธีคำนวณดังกล่าวแล้วใน ‘บทนำฯ’
ข. ส่วนตัวเราเองสังเกตได้ง่ายๆว่าอ้วนขึ้นจาก
- การที่เสื้อผ้าเดิมๆใส่คับขึ้น
- หรือ น้ำหนักขึ้นเสมอจากการชั่งน้ำหนัก
- หรือ รู้สึกอึดอัด และเหนื่อยง่ายกว่าเดิม
ทำไมโรคอ้วน และ น้ำหนักตัวเกินถึงเป็นปัญหาทางการแพทย์?
น้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วนในปัจจุบัน จัดเป็นปัญหาทางสาธารณสุข เพราะประชากรทั่วโลก รวมทั้งในคนไทย มีปัญหาน้ำหนักตัวเกินและเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นทุกปีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งน้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน เป็นทั้งปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุสำคัญของโรคเรื้อรังต่างๆที่ไม่ได้เป็นโรคติดเชื้อ (ที่เรียกว่า โรคเอนซีดี/ NCD) ที่เป็นปัญหาต่อสุขภาพ และเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลสูงมาก แต่อัตราเสียชีวิตจากโรคเอนซีดีก็ยังคงสูงต่อเนื่อง
โรคต่างๆที่มีน้ำหนักตัวเกิน และโรคอ้วน เป็นปัจจัยเสี่ยง หรือ เป็นสาเหตุ คือ
- โรคหลอดเลือดหัวใจ
- โรคหลอดเลือดสมอง (โรคอัมพาต)
- โรคเบาหวาน
- โรคความดันโลหิตสูง
- โรคไขมันในเลือดสูง
- โรคนิ่วในถุงน้ำดี เพราะการมีไขมันในเลือดสูง ส่งผลให้น้ำดีจากตับมีไขมันสูงตามไปด้วย ซึ่งไขมันจะตกตะกอนเกิดเป็นนิ่วในถุงน้ำดีได้ง่าย
- มีปัญหาในการหายใจ มักเป็นโรคนอนหลับแล้วหยุดหายใจ (Sleep apnea)
- เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งหลายโรค เช่น
- มะเร็งเต้านม
- มะเร็งเยื่อบุมดลูก
- มะเร็งลำไส้ใหญ่
- มะเร็งหลอดอาหาร
- และมะเร็งกระเพาะอาหาร
- มีปัญหาทางด้านสังคม ทั้งกับตัวผู้ป่วยเองและครอบครัว
- และมักเป็นโรคซึมเศร้า
โรคอ้วน และ น้ำหนักตัวเกินมีสาเหตุจากอะไร?
สาเหตุของน้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน ได้แก่
ก. สาเหตุที่พบบ่อย: เช่น
- กินอาหารเกินความต้องการของร่างกาย ทั้ง
- ประเภทอาหาร ได้แก่ แป้ง ไขมัน และอาหารใยอาหารต่ำ
- และปริมาณอาหาร
- ร่วมกับ ขาดการออกกำลังกายที่เหมาะสม
- และขาดการเคลื่อนไหวร่างกาย จาก
- สภาพการทำงาน/ลักษณะงานที่ทำ เช่น งานด้านคอมพิวแตอร์ฯ
- จากการมีเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ลิฟต์
- รวมทั้งพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เคลื่อนไหว เช่น ติดทีวี ติดเกมส์ หรือ ติดคอมพิวเตอร์
ข. ที่พบเป็นสาเหตุได้บ้างเป็นส่วนน้อย เช่น
- จากความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทำให้ร่างกายสะสมไขมันได้สูง
- เป็นโรคเกี่ยวกับฮอร์โมน เช่น
- โรคเนื้องอกต่อมใต้สมอง
- หรือโรคต่อมไทรอยด์ทำงานพร่อง/ต่ำ (ภาวะขาดไทรอยด์ฮฮร์โมน)
- การกินยาบางชนิดซึ่งมีผลข้างเคียงกระตุ้นให้อยากอาหาร เช่น
- ยากันชัก บางชนิด
- หรือ ยารักษาทางจิตเวช บางชนิด
- การผ่อนคลายความเครียดด้วยการกิน
- คนท้องซึ่งกินมากในช่วงตั้งครรภ์ และเมื่อคลอดแล้วไม่สามารถลดน้ำหนักได้
- ในผู้สูงอายุเพราะเคลื่อนไหวได้ช้า และมีโรคประจำตัวซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหว การออกกำลังกาย
- และมีบางการศึกษาพบว่า อาจเกิดจากการอดนอนเสมอ (นอนวันละ 5 ชั่ว โมงหรือน้อยกว่า) ทั้งนี้เพราะในขณะนอนหลับ ร่างกายจะสร้างฮอร์โมนเพื่อลดการอยากอาหาร (ฮอร์โมนเลปติน/Leptin) และฮอร์โมนเพื่อกระตุ้นการใช้พลังงานของร่างกาย (ฮอร์โมนอินซูลิน /insulin)
ปัจจัยเสี่ยงของคนไทยต่อการมีโรคอ้วน และ น้ำหนักตัวเกินมีอะไรบ้าง?
จากการศึกษาของ Jitnarin, N. และคณะ ซึ่งรายงานผลการศึกษาในปี ค.ศ. 2009 พบ ว่าปัจจัยเสี่ยงของผู้ใหญ่ไทยต่อการมีน้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน
ก. สำหรับผู้ชาย คือ
- สูงอายุ
- อยู่อาศัยในเมือง
- มีฐานทางเศรษฐกิจค่อนข้างดี
- และไม่สูบบุหรี่
ข. ส่วนในผู้หญิงไทย คือ
- สูงอายุ
- มีการศึกษา
- โสด
- ทำงานด้านวิชาชีพ หรือ กึ่งวิชาชีพ
แพทย์รักษาโรคอ้วน และ น้ำหนักตัวเกินได้อย่างไร?
แนวทางการรักษาน้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วนของแพทย์ ขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น
- สาเหตุ
- อายุ
- สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย
- โรคร่วมต่างๆ
- น้ำหนักตัวผู้ป่วย และ
- ขีดความสามารถของผู้ป่วยและครอบครัวในการดูแลผู้ป่วย
ทั้งนี้ การรักษาโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกินมักใช้หลายๆวิธีการร่วมกัน โดยมักเริ่มจากการตั้งเป้าหมาย และประเมินผลการรักษาตามเป้าหมาย เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีรักษา เช่น ให้ลดน้ำหนักได้ 10% ใน 6 เดือน และต่อจากนั้นดูว่าผู้ป่วยสามารถลดน้ำหนักลงได้อีกไหม และ/หรือ สามารถคงน้ำหนักอยู่เช่นนั้นได้ไหม? เป็นต้น
ซึ่งวิธีการรักษาโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน มีตั้งแต่
- การควบคุมปริมาณและประเภทอาหาร
- การออกกำลังกาย
- การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต
- การใช้ยาลดการอยากอาหาร/ยาลดความอ้วน
- จนถึงการผ่าตัดกระเพาะอาหาร (Bariatric surgery) ซึ่งในการแนะนำการผ่าตัด จะขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์ และปัจจัยต่างๆดังกล่าวแล้วในตอนต้นของหัวข้อนี้เช่นกัน
ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อน้ำหนักตัวเกินหรือ เป็นโรคอ้วน? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
การดูแลตนเองเมื่อปล่อยให้อ้วนแล้ว มักเป็นการยากที่จะควบคุมน้ำหนักได้ ดังนั้นจึงต้องเริ่มควบคุมน้ำหนักตั้งแต่เมื่อเริ่มมีน้ำหนักเกิน เช่น รู้สึกเสื้อผ้าคับ หรือ เมื่อชั่งน้ำหนักแล้วน้ำหนักขึ้นต่อเนื่องทุกอาทิตย์ ซึ่งการดูแลตนเองที่สำคัญ คือ
- ต้องตระหนักถึงความสำคัญของโทษของโรคอ้วน และ น้ำหนักตัวเกิน
- และมีอุตสาหะในการควบคุมน้ำหนัก เช่น
- กินอาหารแต่ละมื้อให้น้อยลง ค่อยๆทยอยลดน้ำหนักตัว เพราะถ้าลดฮวบฮาบ จะทนหิวไม่ได้
- ไม่กินจุบจิบ
- และเมื่อมีกิจกรรมต่างๆ เช่น ท่องเที่ยว ประชุม ก็ยังควรต้องจำกัดอาหารเสมอ
- จำกัดอาหาร แป้ง หวาน และไขมัน เพิ่ม ผักและผลไม้
- ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เคลื่อนไหว/เคลื่อนไหวน้อย เช่น ลดการดูทีวี โดยทำงานบ้านทดแทน
- พยายามหาทางให้ร่างกายใช้พลังงาน เช่น ลงรถเมล์ก่อนถึงป้ายที่ทำงาน 1 ป้าย หรือ ใช้ลิฟต์เฉพาะเมื่อจำเป็น
- พยายามออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อยวันละ 30 นาที
- ชั่งน้ำหนักทุกสัปดาห์
- การควบคุมน้ำหนักต้องได้รับความร่วมมือจากทุกคนในครอบครัว โดย เฉพาะในเรื่องอาหาร เช่น ไม่ซื้อขนมเข้าบ้าน
- ไม่ซื้อยาลดความอ้วนกินเอง โดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะยาฯมีผลข้างเคียงหลายอย่างที่อาจส่งผลต่อสุขภาพ และอาจเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้ เช่น
- เบื่ออาหารมากจนกินได้น้อยจนขาดอาหาร
- การรับรสชาติผิดปกติ
- ท้องผูก
- ปากแห้ง
- เหงื่อออกมาก
- นอนไม่หลับ
- คลื่นไส้อาเจียน
- ความดันโลหิตสูง
- ใจสั่น
- หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
- ปวดศีรษะ
- กังวล
- หงุดหงิดง่าย
- และสับสน
- ควรพบแพทย์เมื่อดูแลตนเองแล้วน้ำหนักยังขึ้นต่อเนื่อง หรือเมื่อกังวลในเรื่องน้ำหนัก
ป้องกันโรคอ้วน และ น้ำหนักตัวเกินได้อย่างไร?
วิธีป้องกันน้ำหนักตัวเกินและโรคอ้วน เช่นเดียวกับที่กล่าวแล้วใน ‘หัวข้อ การดูแลตนเองฯ’
บรรณานุกรม
- Jitnarin, N. et al. (2009). Risk factors for overweight and obesity among Thai adults: results of the National Thai Food Consumption Survey. Nutrients. 2, 60-74.
- Kantachuvessiri, A. (2005). Obesity in Thailand. J Med Assoc Thai. 88, 554-562.
- https://www.who.int/en/news-room/fact-sheets/detail/obesity-and-overweight [2019,Jan26]
- http://en.wikipedia.org/wiki/Obesity [2019,Jan26]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Waist%E2%80%93hip_ratio [2019,Jan26]
- http://www.euro.who.int/en/health-topics/disease-prevention/nutrition/a-healthy-lifestyle/body-mass-index-bmi [2019,Jan26]